วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การประชุมออนไลน์ CUIC จ้าาา(ชั่วคราว)

สวัสดีคร้าบเพื่อนๆ

วันนี้เป๊กขอนำเสนอนวัตกรรมการประชุมแบบใหม่ สำหรับการประชุมในกรณีที่เรามีเวลาอันน้อยนิด

กับ การประชุมออนไลน์ผ่านเว็บ ^^วาระ อัพเดทโลด!!

นัดประชุมกันในวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2553 เวลา 22:30 น. ไม่เลทนะค้าบบ..

ผมรอประธานฝ่ายครบก็จะลุยทันที พวกเราจะได้ไปอ่านหนังสือสอบกันเนอะๆ ^^

ก่อนอื่นเราต้องไปรู้จักวิธีกันก่อนครับไม่ยาก รับรอง 15 นาทีเสร็จจจจ!! ^^

ดูข้อมูลได้จาก บล็อกของผมเลยคร้าบ!!

อุปกรณ์ประกอบการประชุม

1. Skype : ซอฟต์แวร์คุยกันผ่านเสียงและการพิมพ์

2. ไฟล์ power point หรือ เอกสารที่จะนำเสนอต่างๆ

3. Link สำหรับเข้าสู่ห้องประชุม Yugma (รอรับลิ้งค์ของห้องประชุม จากเป๊กได้ที่เมลล์ของเพื่อนๆตอน 20:30 น.ครับ)

4. ขนมขบเคี้ยวขณะประชุม

5. ไมโครโฟน (notebook จะมีไมค์ในตัวอยู่แล้ว!!)

6. อินเตอร์เน็ต

Feature ของโปรแกรม Skype ดาวน์โหลดได้ที่นี่จ้า !! (http://www.webcam2home.com/webcam-skype-playing.htm)

Feature ของ YUGMA

· Share Desktop ใช้ในการนำเสนอผลงานได้ โดยสามารถทำ Annotation ต่างๆได้ สนุกดี

· พิมพ์ข้อความถึงกัน

· บันทึกการประชุม

· Quick poll

· Quick Questionaire

ขั้นตอนการใช้

1. ผู้สนใจเข้าร่วมประชุมลงชื่อผ่านทาง กรุ๊ป CU Vichakarn บนเฟสบุ๊ค พร้อมชื่อบน skype ของคุณ คุณจะได้รับการแอดจากเป๊กในเวลา 20:30 น. กรุณารับแอดจากเป๊ก ใน skype หลังเวลาดังกล่าวด้วย

2. ใครที่ต้องการอัพเดทงานให้มีเอกสารประกอบด้วยโดยทำเป็น (ขอให้ประธานทุกฝ่ายทำด้วยจ้า สั้นๆง่ายๆ น้อยๆเน้นอธิบายผ่าน skype!!)

a. Power point สำหรับนำเสนอให้เพื่อนๆดูทาง YUGMA

3. เข้าไปเช็คเมลล์ของท่านเองได้ตั้งแต่ 21:30 น. จะพบว่ามี Yugma invitation ปรากฏอยู่ให้คลิ๊กลิ้งค์นั้น และ กรอกข้อมูลด้วยคร้าบ แล้วก็จะเข้ามาเจอกันใน Yugma

4. 22:30 น. เป๊กจะโทรผ่าน skype ในลักษณะ Group ให้ทุกคนรับโทรศัพท์ของเป๊ก บน skype ด้วยครับ

5. เริ่มประชุมโดยเปิด 2 โปรแกรมคู่กัน คือ skype และ Yugma

อาจยุ่งยากสำหรับการเริ่มต้น ...แต่ก็เพราะความมุมานะของคนสมัยก่อน..

พวกเราจึงสบายอย่างทุกวันนี้...

อีก 3 เดือนที่เหลือของพวกเรา..ในหน้าที่ “ฝ่ายวิชาการ ของจุฬาฯ”

พวกเราก็พร้อมจะเหนื่อยด้วยกัน? เพื่ออนาคตที่ดีของ “น้องๆและมหาวิทยาลัยที่เรารัก”

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เปิดประตู ดูตัวเอง- ปลดล๊อค ที่ขังความเอื้อเฟื้อที่มีอยู่ลึกๆ

เพราะความวางใจนี้ จึงเกิดมีซึ่งตัวข้าฯ
ข้าได้หน้าที่มา ความควรค่าอยู่ที่ใด
ตรึกแล้วจึงให้เกิด โครงจะเปิดประตูชัย
พาน้องชมมหา'ลัย หวังจะให้รู้ช่องทาง
เริ่มแล้วสัจธรรมเกิด ยากจะเปิดคนเดียวได้
มันเป็นของเอ็งรึไง จึงเปิดได้โดยลำพัง
เออหว่ะ ข้าเพิ่งเก็ท แล้วต้องเฮ็ด ยังไงมั่ง
เข้ามา เข้ามานั่ง จะให้ฟัง หวังเพิ่มพูน
มหาลัยแห่งนี้หนา อยู่ยาวมาแต่รุ่นนู้น
วิทยาเขาว่าบริบูรณ์ เป็นศูนย์กลางทางปัญญา
แต่สภาเขาพูดกัน ว่าที่นั่นมีปัญหา
เติบโตยิ่งใหญ่มา ไม่คืนค่าสู่แผ่นดิน
คอยเบิกงบท่าเดียว ไม่แลเหลียวมองดูถิ่น
ภาษีราษฎร์ประชาสิ้น ที่หลั่งรินให้โตมา
ครูใหญ่เคยบอกเตือน ให้ชวนเพื่อนในจุฬาฯ
ปลดล๊อกประตูหนา คืนคุณค่าสู่มหาชน
วิชาการงานของเจ้า จักให้เขาได้เห็นผล
ให้ปัญญาแก่ฝูงชน คืนค่าตน – สถาบัน
อนาคตของจุฬาฯ อยู่ที่ข้าแล้ววันนี้
แต่แปลกใจทำไงดี ประตูนี่จึงเปิดได้
ประตูนี้ลั่นดาล เขากล่าวขานกันเอาไว้
ปลดกลอนสิบเก้าได้ ประตูไซร้จะไขออก
จะเปิดประตูที คงต้องมีสิบเก้าดอก
กุญแจประตูนอก จะเผยออกจากภายใน
ผมพร้อมจะเปิดแล้ว แต่กุญแจอยู่ที่ไหน
คงต้องเปิด “ประตูใจ” จึงจะได้กุญแจมา
พวกเราจะพากัน ก้าวสู่ฝันที่ยิ่งใหญ่
จุฬาฯจะเป็นอย่างไร กำหนดได้ด้วยมือของเรา

ยากยิ่ง! ต้องยิงฟัน ^_^

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ต่อจากนี้ไป..ให้ทุกก้าวของเรามีคุณค่าเพื่อจุฬา..

วันนี้นึกครึ้้มไงมะรู้ อยากเขียนบลอคที่เราได้ปล่อยมันไปนานแล้ว..
วันนี้ก็ใกล้สอบปลายภาคของพวกเราชาวจุฬาทุกคนแล้วเนอะ และก็เป็นวันแรกที่เราไปประชุม
กับ อบจ. หรือที่พวกเรารู้จักกันว่า "องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
เพื่อแนะนำตัวให้กับพี่ๆ อบจ.52 และ นายกสโมคณะต่างๆได้รู้จัก...และวันนี้ก็ได้พบ
เพื่อนร่วมทางคนสำคัญของเราแล้ว เป็นประธานวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ น่ารักมากมาย
(ตำแหน่งอื่นๆคงอิจฉาน่าดู) เหอๆๆ เรารู้สึกว่า การที่กว่าจะผ่านการเลือกตั้งมาได้นั้นมันยากเย็นไม่ใช่น้อย
แต่เมื่อได้ตำแหน่งแล้วมองไปข้างหน้า อู้หู้...เรารู้สึกว่าภารกิจนี้ใหญ่โตเนาะ มาทำหน้าที่วิชาการให้กับมหาลัยที่เป็นหนึ่งเรื่องวิชาการ ตูจะไหวมะเนี่ยยยย...เหอๆ แต่เมื่อกี้เพิ่งไปกินข้าวเย็นกับพี่ๆในทีมมีคำพูดดีๆหลายคำที่เกิดขึ้นในที่ประชุม แล้วทำให้เรารู้ึึสึกว่า "อุ่นใจ" ขอบคุณพี่ศา สำหรับคำเตือนใจที่ว่า "ต่อจากนี้ไป ให้ทุกก้าวของเรามีคุณค่าเพื่อจุฬา" ขอบคุณพี่ๆคนอื่นที่ช่วยย้ำให้ผมรู้สึกว่า "เราคือทีมเดียวกัน" ไม่ว่าตำแหน่งไหน เราก็จะช่วยกัน เราจะไม่ทิ้งกัน ผมรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมได้มาพบกับทุกคนในทีมและทีมsupport ขอบคุณเพื่อนชาวทันตะฯ และชาวจุฬาทุกคนที่ทำให้เราได้มีโอกาสเข้ามาทำให้สิ่งที่ตั้งใจ และขอบคุณมากๆๆๆๆๆสำหรับ พี่เอ็ม "พี่"ที่ทำให้ผมได้มาพบสิ่งดีๆเหล่านี้ ขอบคุณที่พี่เอ็มให้โอกาสผมเสมอมานะครับ
ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมเองสบายใจ และอบอุ่นใจนะ ไม่ใช่เพราะการได้มาซึ่งอำนาจหรือตำแหน่ง หากแต่เป็นกำลังใจจากทุกคน ผมเองคงไม่กล้ารับรองว่าผมจะทำงานเพื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ของเราได้ดีมากน้อยเพียงไหน แต่ผมรับรองว่าจะตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ เพื่อชาวจุฬาฯ ทุกคนนะคับ...มาร่วมกับพวกเรานะ แค่เพียงยื่นมือของคุณมา รับมือของเราไว้ "ยิ้ม" แล้วก้าวไปด้วยกัน เพื่อบ้านหลังใหญ่ที่อบอุ่นของพวกเราทุกคนนะจ๊ะ
...การสร้างบ้านของเราให้น่าอยู่ มิอาจทำให้สำเร็จได้ หากมีแค่พวกผมเพียง 10 คน...
....ทว่าต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ ของพี่น้องชาวจุฬาฯอีก 24,050 คนด้วย...

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

วิดีโอฮาๆของชาวเด้นท์

วันนี้เราวิดีโอฮาๆของชาวเด้นท์มาฝากพวกเรา
อันแรกสำหรับใครที่ไม่ได้ไปม่วงสัมพันธ์ อันนี้เป็นการ
ของมหิดล ฮาดีแต่อันนี้จะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เป็นเกี่ยวกับการคัดตัวนักแสดง

อันต่อมา อันนี้ฮาจิงๆๆ เขาครีเอทมากๆอ่ะ เด้นท์จุฬาต้องอึ้งเรียกงั้นเลยที่เดียว มาดูกันให้เต็มตากับ โฆษณาม่วงๆๆ

คราวนี้มาถึงอันดับหนึ่งของความครีเอทของชาวม่วงสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คนที่แสดงชื่อพี่เจนิเฟอร์อยู่มหาลัยเพื่อนๆเรียก เจนิเฟอโรซอรัส ส่วนคนถือร่มนั้นเป็น นายิกา สโม ของขอนแก่น ฮาพอกันทั้งคู่ การแสดงนี้เราขอแบ่งเป็นสองส่วนไม่งั้นมันจะเอาลงไม่ได้ (อาจเพราะไฟล์ใหญ่เกิน)

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

กีฬา 5 หมอ

"หมอฟันจะฟันหมอ เภสัชรอโดนหมอฟัน สัตวะเราไม่หวั่น เราหมอฟันไม่กลัวใคร สหเวชเฟรชชี่ดุ เก็บเข้ากรุหลีกทางไป ทันตะจะคว้าชัย ร้อยดวงใจสามัคคี "
ที่เขียนข้างบนนี่อย่าจิงจังมากนะ เราแต่งเอาฮา มันก็เลยดูแปลกๆ (ประกอบกับมึนแล้วด้วย)
เข้าใกล้งานกีฬาห้าหมอเข้ามาทุกทีแว้ว งวดเข้าทุกทีสำหรับการเตรียมงานทั้งงฝ่ายอุกรณ์ที่ลงมือทำอุปกรณ์(ม้าปิ้ง&เดอะ แก็งค์)สวยงามให้เราได้ใช้ ฝ่ายละคร(น้ำหอมหื่น&เดอะ ก๊วน) และสแตนด์(เฮียต้า และอาเน็ท) และที่สำคัญขาดไม่ได้ หัวเรือใหญ่งานนี้ คงหนีไม่พ้น ท่านเหว่ย(เซี๊ยะกัง รึป่าว?) ที่ทุ่มสุดๆ สละทิ้งซึ่งตำราเรียน ลงมาทำงานอย่างเต็มตัว (เอิ๊กส์!!) งานนี้เราก็ช่วยเขาด้วยน๊า (แม้จะไม่มาก) ดูเรื่องแสตนด์ไรงี้ เพราะฉะนั้น เอเยนซี่วิดีโออย่างเราก็ย่อมไม่พลาดที่จะทำภาพเพื่อนๆมาเผยแพร่กันอยู่แว้วววววว
มาดูกานเลยดีหว่า.................... อันนี้เป็นภาพการซ้อมสแตนด์วันศุกร์ที่ 23 มกราคม เพลงจงฟัง ดูแล้วชื่นจายไม่รู้ว่าวันจริง คนจะมากันเยอะแบบนี้อ๊ะป่าว เพราะเพื่อนๆที่มาช่วยส่วนหนึ่งต้องไปทริป จึงไม่สามารถมาช่วยได้ ถ้าเพื่อนที่ได้เข้ามาดูบล๊อคนี้ ก่อนวันงาน ก็ชวนมางานด้วยกันน๊า สิบเอ็ดโมงเจอกันที่เด้นท์พอยท์นะจ๊ะ

อันต่อไป เอามาให้ดูความตั้งใจของเหล่าผู้นำเชียร์ แห่งคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซ้อมกันตลอดเว(แอบใช้ศัพท์ ใหม่ กานต์นรี) กลับบ้านดึกๆ เพื่อที่จะสามารถนำแสตนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้หลีดยังช่วยพวกเรามาหลายครั้ง ทั้งขายของ บูมบัณฑิต etc. เราขอบคุณหลีดทุกคน(ปิง จูน ไอซ์ พลอย อัน ฝ้าย ตอง บัว จุ้ย ตาล และ new lead คือ บิ๊ก และอาร์ม-คู่รหัสเรา)มากๆที่มีความตั้งใจทำงานเพื่อเกียรติภูมิของคณะ และเราชาว Dent 70 ทุกคน นอกจากนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ทุ่มเททำงานอีกด้วย ^_^ เราขอบคุณมากสำหรับทุกหยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา ทุกความตั้งใจของหลีดและพี่หลีดที่มีให้พวกเรา ขอบคุณจริงๆ สู้ๆๆๆๆๆๆๆนะ (ถึงคลิปนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่เชื่อว่าจะช่วยสร้างความสมบูรณ์ของคำว่า "รุ่น"ให้กับเราได้)

อันสุดท้ายเป็นภาพของพวกเราที่ร่วมกันร้องเพลง "เกียรติภูมิจุฬาฯ" ในห้อง509 ตึกใหม่ เป็นอีกบรรยากาศที่เราประทับใจ แม้เสียงในคลิป(เป็นที่อุปกรณ์)จะไม่ดัง (ก็พยายามฟังหน่อยละกัน นะจ๊ะ!!) แต่เราเห็นสวยตาของทุกคน ความเงียบในเวลาที่ควรเงียบ ความจดจ่อตั้งใจของเพื่อนๆแล้ว รู้สึกดี เพราะ เพลงนี้ไม่ได้แค่ออกมาจากปาก แต่ผมเชื่อว่าเสียงเพลงนี้ออกมาจากหัวใจอันเทิดไว้สูงสุดซึ่งเกียรติภูมิแห่งมหาวิทยาลัย จริงๆแล้ว ใครๆก็อาจร้องเพลงๆนี้ได้ แต่ไม่มีใครที่จะร้องเพลงนี้ได้อย่างภาคภูมิใจมากเท่ากับ "นิสิตจุฬาฯ" เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราร้องเพลงมหาวิทยาลัย จึงควรร้องจากใจ ร้องด้วยความภาคภูมิใจ ร้องด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธาในมหาวิทยาลัยของเรา เราจะมีความสุขที่จะร้องเพลง เมื่อนั้นคนฟังก็จะรู้สึกได้ถึงพลังเสียงจุฬาฯ ว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม ควรค่าแก่การชื่นชมและชื่นใจ ทำได้ดังนั้นบทเพลงจึงมีค่าแท้คือจรรโลงใจ มิใช่เพียงแต่ถูกใจอันเป็นคุณค่าเทียม

"สีชมพูจักอยู่ในกายเจ้า พระเกี้ยวเกล้าจักอยู่เป็นคู่ขวัญ"

เรามีความสุขเมื่อร้องเพลง เราภูมิใจ เราจะยิ้ม แล้วส่งความรู้สึกดีๆเกี่ยวกับจุฬาในตัวเราไปยังคนที่อยู่รอบข้าง เค้าจึงจะได้สัมผัสถึงเสี้ยวหนึ่งของเลือดจุฬาฯ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

My Favorite Stuff



ตอนนี้ ชีวิตใครติดเข็มทิศแล้วบ้างงงง???
เรามีหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านแล้วประทับใจมาก “เข็มทิศชีวิต” ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ตอนแรกก็สงสัยว่ามีอะไรดีทำไมคนถึงอ่านกันเยอะมาก จนต้องพิมพ์ถึง 50ครั้ง แต่พอมาอ่านเองแล้วก็ get ที่เราชอบเพราะมันทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยใจที่ขาดความรู้สึกตัว เราอยากจะเอามุมมองดีๆที่เราอาจเคยเป็นมาแบ่งปันเพื่อนๆ.. อยากให้อ่านน๊า!!!
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมสูงมากเล่มหนึ่ง (มีการพิมพ์แล้วกว่า ๕๐ ครั้ง) เหตุที่ได้รับความนิยมมากเป็นเพราะเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย สถานการณ์ในเรื่องตรงกับประสบการณ์ของคนทุกคน ผู้เขียนสามารถยกตัวอย่างได้เห็นภาพชัดเจน และผู้เขียนสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตของท่านเอง คือหนี้สินเกือบร้อยล้าน ได้ในเวลาเพียง ๓ ปี ด้วยการมี “เข็มทิศชีวิต” เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” จบแล้ว ข้าพเจ้าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายแต่ สรุปเป็นประเด็นได้ คือ “ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนแต่มีที่มาจากใจที่ไร้ความรู้สึกตัว(สติ)ของเราทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราปรารถนาจะมีชีวิตที่เป็นสุข เราจะต้องใช้เข็มทิศชีวิต(สติ)นำทางสู่จุดหมาย เพื่อจะได้ไม่หลงไปจากจุดหมาย” จากประเด็นหลักดังกล่าว สามารถขยายความได้ดังนี้ ในชีวิตแต่ละวันของเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์มากมาย มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป เมื่อเผชิญกับความสุขเราอยู่ได้ ไม่มีปัญหา แต่พอเจอกับความทุกข์ บางคนถึงขนาดกระทำอัตวินิบากกรรมพยายามที่จะหนีความทุกข์ เพราะไม่สามารถรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ หรือบางคนเมื่อผิดหวังในความรัก โดนแฟนทิ้ง บอกว่าเป็นทุกข์ ต้องไปดื่มเหล้าลืมทุกข์ พอดื่มแล้วก็ไปขับรถ ประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนพิการ ขยับตัวไม่ได้ จึงจะรู้สึกว่าทุกข์นี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ตอนถูกแฟนทิ้งเสียอีก แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกินแก้เสียแล้ว เหตุที่ต้องมาทุกข์แบบนี้ก็เพราะการดื่มเหล้าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ที่แก้ได้ไม่ถูกจุดเพราะเขาขาด “ความรู้สึกตัว-เข็มทิศชีวิต” หรือ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า สติ เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ใจเรานี่หละ ที่ทำให้เกิดทุกข์ ใจเราไปผูกเอาเอง คิดเอาเองว่าเขาเป็น “ของเรา” และจะต้องเป็นไปอย่างที่เราอยากให้เป็น เมื่อไม่ได้ดังหวังก็ทุกข์ หากเรามีสติแต่ต้นเราก็จะคิดได้ว่า “บางครั้งเรายังบังคับตัวเองให้เป็นตามที่เราต้องการไม่ได้เลย แล้วเราจะไปบังคับเขาให้รักเราได้อย่างไร” หรือบางครั้งเขาว่าเราคำเดียว ใจเราก็กลับมาคิดจนเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามีสติเราจะคิดได้ว่า “คนอื่นเขาเอามีดมาแทงเราครั้งเดียว แต่ใจเรานี่หละที่เอามีดมาแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้สึกตัว”
ธรรมชาติของมนุษย์นั้น “รักตัวเอง” ถ้าเรารู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเอง เราจะหยุดโดยทันที เมื่อเรากำลังคิดว่าเขาว่าเราอย่างงั้นอย่างงี้ คิดแล้วมันก็ทุกข์ใจ หากว่าเรามีสติ เราก็จะเห็นภาพตัวเรากำลังหยิบมีดขึ้นมาแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดคำถามว่า คิดแล้วใครเจ็บ? ก็ตัวเรามิใช่หรือ แล้วคิดทำไม? ก็นั่นหน่ะสิ เลิกคิดดีกว่า ด้วยการมีสติจึงสามารถทุเลาทุกข์ลงได้ และจะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ลด โลภ โกรธ หลงได้ดี ใจจะสงบและเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาได้ อธิบายมาถึงตรงนี้ ท่านคงทราบแล้วว่า การขาดเข็มทิศนั้นส่งผลเสียต่อเราอย่างไร และการมีเข็มทิศประจำใจนั้นช่วยบรรเทาโรคทุกข์ได้มากเพียงใด แต่ยังอาจสงสัยอยู่ว่าแล้วการมีเข็มทิศจะช่วยให้เราถึงจุดหมายคือความสุขในชีวิตโดยไม่หลงทางได้อย่างไร ดังจะมีตัวอย่างเรื่อง “นักบวชกับจีวร” มีเรื่องเล่าว่า มีนักบวชรูปหนึ่งเคร่งภาวนามาก อาจารย์จึงให้ไปภาวนาคนเดียวที่กุฏิชายป่า วันหนึ่งมีหนูมากัดจีวร แทนที่พระจะแก้ปัญหาด้วยตนเอง กลับแก้ด้วยการเอาแมวมาเลี้ยง พอเอาแมวมาเลี้ยงก็ต้องหานมให้แมวกิน พอคร้านหานมให้แมวกินเลยขอวัวชาวบ้านมาเลี้ยง เลยต้องหาหญ้ามาให้วัวกิน แต่ตัวเองก็ต้องภาวนา จึงจ้างหญิงชาวบ้านมาตัดหญ้าเลี้ยงวัว นานวันไปไม่อยากเสียค่าจ้างตัดหญ้า ก็เลยแต่งงานอยู่กินกับหญิงชาวบ้านนั้น เลยต้องสึกออกมาทำมาหากิน
จากตอนแรกที่ตั้งใจบวชเพื่อภาวนา กลับกลายมาเป็นการแต่งงานใช้ชีวิตฆราวาส ที่พลาดไปเพราะนักบวชนักไม่มีเข็มทิศกำกับการเดินทางของท่าน ผ่านไปแต่ละวัน ทิศทางสู่จุดหมายของท่านก็เบี่ยงเบนไปทีละน้อย จนในที่สุดก็พาท่านออกนอกเส้นทางที่ตั้งใจ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของเรา หากเราไม่หมั่นตรวจสอบจุดหมายและทิศทางของเราด้วยเข็มทิศประจำใจ เราก็จะหลงทาง แต่หากเราฝึกสติ รู้สึกตัวเสมอไม่ว่าจะทำอะไร หมั่นเช็คการกระทำสม่ำเสมอจะทำให้เราเดินทางสู่จุดหมายได้อย่างราบรื่นและเป็นสุข

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

ม่วงสัมพันธ์ สามวันสองแคว

ม่วงสัมพันธ์ สามวันสองแคว

เมื่อวันที่ 5-7 ธันวาคมปีที่แล้ว พวกเราชาว "DENT" จากทุกมหาลัย ได้มีโอกาสไปเจอกัน ปีนี้ม.นเรศวรรับเป็นเจ้าภาพ พวกเราจากจุฬาไปกัน 2o กว่าคนได้ เป็นปีหนึ่งไปซะเจ็ด (ต้า บูม เด&ภา นุช ดุ๊ก เป๊ก)เราเริ่มออกเดินทางตอนตีหนึ่ง ต้องเดินจากหอไปคณะคนเดียว (น่ากัวได้อีก!!) พอขึ้นรถก้อหาที่นั่งกัน เราไปอยู่ท้ายสุดเลย พอขึ้นรถได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาหลับ (เอิ๊ก)
เวลาประมาณหกโมงพวกเราก็มาเถิงที่พิษณุโลก อากาศเย็นๆๆมาก บรรยากาศดี แปรงฟันแล้วไปเดินเที่ยวแถวๆหอพระกลางน้ำ มีคนมาวิ่งปลายอยู่(พี่น้ำปีสองเราก็ไปวิ่งกะเขาด้วย-วิ่งจนหาไม่เจอเลยทีเดียว เอิ๊ก!)แล้วก็ไปเที่ยวรอบ มหาลัย ไหว้พระนเรศวร แล้วเข้าไปเที่ยวในเมือง นั่งรถรางไป เที่ยว พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี- ขอแนะนำใครไปควรเข้าไปชม เขาบรรยายดีมาก ของเยอะ ทำให้เราถึงกับต้อง “อึ้ง”กับภูมิปัญญาชาวบ้านเลยทีเดียว recommendต้องไปให้ได้(ไม่รู้เขาจะทำไปได้อีกนานแค่ไหนนะ !! ควรรีบไปดู) จากนั้นไปไหว้พระพุทธชินราช โอ้ว!!พระพุทธรูป งามได้อีกๆๆ แล้วก้อต้องไปกิน “เมี่ยงเสียบไม้”ที่นี่อร่อยที่สุดตั้งกะเคยกินมา หวาน มัน เปรี้ยว หนึบ ไปพร้อมๆกัน อันนี้ถ้าไปก้อต้องไปกิน เราได้เพื่อนใหม่เป็นเพื่อนปี 6 มหาลัยนเรศวร (หน้าไปกันได้-กัดตัวเองซะ-ชนะตนได้นั่นแหละดี) แล้วก็ไปโรงแรมทรัพย์ไพวัลย์อยู่บนเขาเล็กๆ อากาศเย็นสุดๆ โรงแรมหรูดี บริการเป็นเลิศ สวยด้วย ท่าทางเจ้าของจะชอบช้างมาก มีรูปช้างทุกอิริยาบถ (ชอบมากตอนช้างยืนครั้งแรก-เพิ่งเกิด) ถ้าให้กินเนสมาดูพี่แกคงได้รางวัล โรงแรมที่มีรูปช้างมากสุดในโลก “ไม่มีที่ไหนในโรงแรมมองไม่เห็นช้าง” มีกิจกรรมต่างๆให้ทำอย่างมากมาย สนุกมาก คนที่ไปก็น่ารัก ตลก ฮาได้อีก อันแรกนี้เป็นวิดิโอเต้นสันของ เจ้าภาพ ม.นเรศวร ก็หนุกดี อีกอันเป็นลีลาศเปิดงานม่วงสัมพันธ์



จากนั้นมาดูการแสดงแต่ละมหาวิทยาลัยกันดีกว่า เหอๆๆ มาจัดเรท เปิดตัวด้วยอันดับที่สาม..........

มหาวิทยาลัยนเรศวร เย๊!! ทำเราเกือบเอาชีวิตไม่รอด งานนี้ พลุกระจาย!! งานนี้มีสวยสี่ แปลกหนึ่ง ดูเอาเองละกัน จะบอกว่าความจิงที่แปลกก็อยู่ในวิดีโอแถวๆนี้ละ เอิ๊ก!! (ใบ้ๆๆ- ไม้หน้าหมวก)

พี่ที่ว่าแปลกนี่ก็พี่บ้านเราเอง